ฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก พ.ศ. 2561
ฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก พ.ศ. 2561 | |
---|---|
แผนที่สรุปฤดูกาล | |
ขอบเขตฤดูกาล | |
ระบบแรกก่อตัว | 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 |
ระบบสุดท้ายสลายตัว | 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561 |
พายุมีกำลังมากที่สุด | |
ชื่อ | ไมเคิล |
• ลมแรงสูงสุด | 160 ไมล์/ชม. (260 กม./ชม.) (เฉลี่ย 1 นาที) |
• ความกดอากาศต่ำที่สุด | 919 มิลลิบาร์ (hPa; 27.14 inHg) |
สถิติฤดูกาล | |
พายุดีเปรสชันทั้งหมด | 16 ลูก |
พายุโซนร้อนทั้งหมด | 15 ลูก |
พายุเฮอริเคน | 8 ลูก |
พายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ (ระดับ 3 ขึ้นไป) | 2 ลูก |
ผู้เสียชีวิตทั้งหมด | 173 คน |
ความเสียหายทั้งหมด | > 5.0205 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ค่าเงิน USD ปี 2018) |
ฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก พ.ศ. 2561 คือช่วงของฤดูกาลในอดีต ที่เคยมีการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนในซีกโลกเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นฤดูกาลต่อเนื่องฤดูกาลที่สามแล้วที่มีการก่อตัวของพายุหมุนและสร้างความเสียหายมากกว่าค่าปกติ โดยมีพายุทั้งหมด 15 ลูกพัฒนาขึ้นเป็นถึงพายุโซนร้อนและได้รับชื่อ ในจำนวนนั้นมี 8 ลูกที่ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคน และในจำนวนนั้นมี 2 ลูกที่ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นถึงพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ ความเสียหายรวมในฤดูกาลนี้อยู่ที่ 3.33 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ค่าเงินปี 2018) ฤดูกาลอย่างเป็นทางการนั้นเริ่มนับในวันที่ 1 มิถุนายน 2561 และไปสิ้นสุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 วันเหล่านี้ตามขอบระยะเวลาของแต่ละช่วงฤดูถือเป็นช่วงเวลาที่มีพายุก่อตัวมากที่สุดในแอ่งแอตแลนติก อย่างไรก็ตามการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนสามารถก่อตัวได้ทุกเวลา
พายุลูกแรกก่อตัวขึ้นในวันที่ 25 พฤษภาคม มีความรุนแรงสูงสุดเป็นพายุโซนร้อน ชื่อ อัลเบร์โต ทำให้ฤดูกาลของปีนี้เริ่มต้นในวันดังกล่าว ซึ่งทำให้มันกลายเป็นฤดูกาลที่สี่ติดต่อกันแล้ว ที่มีพายุลูกแรกก่อตัวขึ้นก่อนวันเริ่มต้นฤดูกาลอย่างเป็นทางการ (1 มิถุนายน) พายุลูกต่อมาคือ เบริล ซึ่งก่อตัวและพัฒนาขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนลูกแรกของฤดูกาลนี้ ทั้งยังเป็นพายุเฮอริเคนลูกแรกที่ก่อตัวขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมของแอตแลนติกตะวันออก นับตั้งแต่พายุเฮอริเคนเบอร์ทาในปี 2551 ต่อมาในวันที่ 10 กรกฎาคม คริส ก็ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนเช่นกัน ทำให้มันกลายเป็นพายุเฮอริเคนที่ก่อตัวเร็วเป็นลูกที่สองของฤดูกาล ตั้งแต่ฤดูกาลปี 2548 ถัดมาในช่วงเดือนสิงหาคมไม่มีพายุเฮอริเคนในแอ่งนี้ จนวันที่ 5 กันยายน ฟลอเรนซ์ ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ลูกแรกของฤดูกาล วันที่ 12 กันยายน จอยซ์ ก่อตัวขึ้น ทำให้ฤดูกาล 2561 นี้เป็นฤดูกาลแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2551 ที่มีพายุก่อตัวขึ้นและได้รับชื่อในเวลาเดียวกันถึง 4 ลูก (อันได้แก่ ฟลอเรนซ์, เฮเลน, ไอแซก และ จอยซ์) วันที่ 9 ตุลาคม ไมเคิล ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ลูกที่สองของฤดูกาล วันต่อมา มันได้กลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนสามอันดับแรกที่ทรงพลังที่สุด ที่พัดขึ้นฝั่งสหรัฐ ในแง่ของความกดอากาศ เป็นรองเหตุการณ์พายุเฮอริเคนวันแรงงาน ค.ศ. 1935 และพายุเฮอริเคนคามิลล์ในฤดูกาล พ.ศ. 2512 ต่อมาจากการก่อตัวของ ออสการ์ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ทำให้ฤดูกาลนี้กลายเป็นฤดูกาลแรกที่พายุก่อตัวขึ้นและไปถึงจุดที่เป็นพายุหมุนกึ่งเขตร้อนในจุดใดจุดหนึ่งของช่วงชีวิตพายุ โดยมีพายุในลักษณะดังกล่าวถึง 7 ลูก ได้แก่ (อัลเบร์โต, เบริล, เดบบี, เอร์เนสโต, จอยซ์, เลซลี และ ออสการ์)
ขณะที่กลุ่มผลการพยากรณ์ส่วนใหญ่จะให้ว่ามีกิจกรรมของพายุหมุนน้อยกว่าค่าปกติ เนื่องจากอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลในเขตร้อนของแอตแลนติกที่เย็นกว่าปกติ และการคาดหมายการก่อตัวของเอลนีโญ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงช่วงดังกล่าวแล้วเอลนีโญกลับไม่ก่อตัวขึ้นและยับยั้งกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนได้ดังคาด ทำให้กิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนนั้นมากกว่าที่พยากรณ์ไว้ไปมาก
ภาพรวมฤดูกาล
[แก้]
พายุดีเปรสชันเขตร้อน (≤62 กม./ชม.) | พายุเฮอริเคนระดับ 3 (178–208 กม./ชม.) |
พายุโซนร้อน (63–117 กม./ชม.) | พายุเฮอริเคนระดับ 4 (209–251 กม./ชม.) |
พายุเฮอริเคนระดับ 1 (118–153 กม./ชม.) | พายุเฮอริเคนระดับ 5 (≥252 กม./ชม.) |
พายุเฮอริเคนระดับ 2 (154–177 กม./ชม.) |
พายุ
[แก้]พายุโซนร้อนอัลเบร์โต
[แก้]พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 25 – 31 พฤษภาคม | ||
ความรุนแรง | 65 ไมล์/ชม. (100 กม./ชม.) (1 นาที) 990 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.23 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 21 พฤษภาคม หย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวขึ้นทางตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลแคริบเบียน ซึ่งเป็นผลมาจากปฏิกิริยาระหว่างความกดอากาศต่ำระดับบน (Upper-level low) และร่องพื้นผิวกำลังอ่อน[1] โดยหย่อมความกดอากาศต่ำเคลื่อนตัวเลี้ยวไปทางตะวันตกอย่างช้า ๆ ก่อนแล้วจึงเบนไปทางเหนือ และเริ่มมีการจัดระบบขึ้นภายในทะเลแคริบเบียน
- วันที่ 25 พฤษภาคม เวลา 15:00 UTC (22:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ระบบมีความเพียงพอที่จะได้รับการจัดความรุนแรงเป็นพายุกึ่งโซนร้อน และได้ชื่อว่า อัลเบร์โต (Alberto) ขณะที่มันอยู่ห่างจากเกาะโกซูเมล รัฐกินตานาโร ประเทศเม็กซิโกไปทางใต้ประมาณ 90 กิโลเมตร[2] ทำให้ในฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่สี่ติดต่อกันแล้ว ที่มีพายุก่อตัวก่อนวันที่ฤดูกาลอย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 มิถุนายน
- วันที่ 26 พฤษภาคม หลังจากที่พายุเกือบไม่เคลื่อนตัวมาเกือบหนึ่งวัน อัลเบร์โตได้เริ่มเคลื่อนตัวไปทางเหนือเข้าสู่อ่าวเม็กซิโก ซึ่งมีลมเฉือนลดน้อยลงและมีอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้อัลเบร์โตเริ่มทวีกำลังแรงขึ้น
- วันที่ 28 พฤษภาคม อัลเบร์โตเปลี่ยนผ่านตัวเองมาเป็นพายุโซนร้อนโดยสมบูรณ์ และมีกำลังสูงสุดที่ความเร็วลมต่อเนื่อง 100 กม./ชม. (65 ไมล์/ชม.) หลังจากนั้น เนื่องจากพายุมีปฏิกิริยากับอากาศแห้ง ทำให้พายุอัลเบร์โตอ่อนกำลังลงใกล้กับชายฝั่งด้านอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐ ก่อนจะพัดขึ้นฝั่งใกล้กับเมืองลากูนาบีช รัฐฟลอริดา สหรัฐ ในเวลาประมาณ 21:00 UTC (04:00 น. ของวันที่ 29 พฤษภาคมตามเวลาในประเทศไทย) ด้วยความเร็วลม 75 กม./ชม. (45 ไมล์/ชม.)[3] หลังจากพัดขึ้นฝั่งได้ไม่นานพายุก็อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน
- วันที่ 31 พฤษภาคม อัลเบร์โตได้เปลี่ยนผ่านไปเป็นลักษณะพายุหมุนหลังเขตร้อนในที่สุด ขณะที่ปกคลุมอยู่ทางตอนเหนือของรัฐมิชิแกน โดยหย่อมความกดอากาศต่ำที่หลงเหลือนั้นถูกดูดซึมไปโดยระบบของแนวปะทะอากาศที่ปกคลุมอยู่เหนือรัฐออนแทรีโอในวันถัดไป[4]
พายุเฮอริเคนเบริล
[แก้]พายุเฮอริเคนระดับ 1 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 4 – 16 กรกฎาคม | ||
ความรุนแรง | 80 ไมล์/ชม. (130 กม./ชม.) (1 นาที) 991 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.26 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 3 กรกฎาคม ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติเริ่มติดตามเส้นทางเดินของคลื่นเขตร้อนเหนือมหาสมุทรแอตแลนติกด้านตะวันออก ซึ่งมีโอกาสจะพัฒนาเป็นพายุหมุนเขตร้อนได้ คลื่นเขตร้อนมีการรวมตัวอย่างรวดเร็วในขณะที่กำลังเคลื่อนที่ไปทางตะวันตก
- วันที่ 5 กรกฎาคม เวลา 15:00 UTC (22:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ระบบได้รวมตัวเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนขณะที่อยู่บริเวณตอนกลางของมหาสมุทรแอตแลนติก[5] สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเอื้ออำนวยให้ระบบขนาดเล็กทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อ เบริล (Beryl) ในเวลา 18:30 UTC (01:30 น. ของวันที่ 6 กรกฎาคม ตามเวลาในประเทศไทย)[6]
- วันที่ 6 กรกฎาคม เวลา 06:00 UTC (13:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) เบริลได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 โดยรูตาขนาดเล็กปรากฏให้เห็นเด่นชัด[7] เมื่อมันถูกกำหนดให้เป็นพายุเฮอริเคน มันจึงกลายเป็นพายุที่กลายเป็นพายุเฮอริเคนเร็วที่เป็นลำดับที่สอง ในพื้นที่พัฒนาหลัก (ทางใต้ของเส้นขนานที่ 20 องศาเหนือ และระหว่างเส้นเมริเดียนที่ 60 องศาตะวันตก ถึง เส้นเมริเดียนที่ 20 องศาตะวันตก) เป็นรองจากพายุเฮอริเคนลูกที่สองเมื่อปี 2476[8] การทวีกำลังนี้เป็นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น เนื่องจากการไหลเวียนระดับต่ำไปเร่งให้เกิดการเฉือนบนพายุหมุน และเป็นเหตุให้อ่อนกำลังลง
- วันที่ 7 กรกฎาคม เบริลอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนในเวลา 15:00 UTC (22:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย)[9]
- วันที่ 8 กรกฎาคม อากาศยานลาดตระเวนของกองทัพอากาศสหรัฐได้บินสืบสำรวจพายุในช่วงรุ่งเช้าของวัน และพบว่าเบริลอ่อนกำลังลงเป็นร่องเปิด (Open trough) ส่วนศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติได้ปรับลดความรุนแรงของเบริลเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนในเวลา 21:00 UTC (04:00 น. ของวันที่ 9 กรกฎาคม ตามเวลาในประเทศไทย)[10] โดยส่วนที่หลงเหลือของเบริลยังถูกติดตามอยู่หลายวันนับจากนั้น แม้ว่าจะเกิดการจัดระบบเพียงเล็กน้อยในเวลานั้นก็ตาม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมทำให้มีการพัฒนาของพายุใหม่อีกครั้ง
- วันที่ 14 กรกฎาคม เวลา 17:00 UTC (00:00 น. ของวันที่ 15 กรกฎาคม ตามเวลาในประเทศไทย) เบริลถูกจัดให้เป็นพายุกึ่งโซนร้อนอีกครั้งในขณะที่อยู่ใกล้กับเกาะเบอร์มิวดา โดยพายุที่เพิ่งฟื้นตัวเริ่มที่จะสูญเสียการพาความร้อนไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอากาศแห้งที่แทรกซึมเข้าไปในระบบพายุ
- วันที่ 16 กรกฎาคม เวลา 03:00 UTC (10:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) เบริลอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำที่หลงเหลืออีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ตัวพายุขาดการจัดการพาความร้อนไปมากกว่าสิบสองชั่วโมง[11]
พายุเฮอริเคนคริส
[แก้]พายุเฮอริเคนระดับ 2 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 6 – 12 กรกฎาคม | ||
ความรุนแรง | 105 ไมล์/ชม. (165 กม./ชม.) (1 นาที) 970 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 28.64 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 2 กรกฎาคม ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติเริ่มติดตามระบบที่มีศักยภาพพัฒนาของบริเวณความกดอากาศต่ำที่ก่อตัวขึ้นใกล้กับเบอร์มิวดาในการหมุนเวียนของความกดอากาศต่ำ[12]
- วันที่ 3 กรกฎาคม มีความกดอากาศต่ำนอกเขตร้อนก่อตัวขึ้นห่างจากเมอร์มิวดาไปทางใต้ประมาณ 100 ไมล์[13] มีฝนตกและพายุฟ้าคะนองและมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น โดยหย่อมความกดอากาศต่ำเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเข้าสู่กัลฟ์สตรีม
- วันที่ 6 กรกฎาคม เวลา 21:00 UTC หย่อมความกดอากาศต่ำจัดระบบเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนสาม ขณะที่มันอยู่นอกชายฝั่งของรัฐนอร์ทแคโรไลนา การทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันนี้ช้า เนื่องจากการหมุนเวียนนั้นยืดขยายออก[14]
- วันที่ 8 กรกฎาคม แต่อย่างไรก็ตาม ในเวลา 09:00 UTC พายุดีเปรสชันเขตร้อนสาม ถูกปรับเพิ่มความรุนแรงเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อ คริส (Chris)[15] แม้ว่าการพยากรณ์จะบอกว่า คริสจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนในวันรุ่งขึ้น แต่เนื่องจากการล่วงล้ำของอากาศแห้งและการลอยตัว เป็นผลให้พายุมีการทวีกำลังแรงขึ้นเพียงเล็กน้อยในระหว่างวัน
- วันที่ 9 กรกฎาคม อย่างไรก็ตาม คริสสามารถนำอากาศแห้งออกจากการหมุนเวียนของมันได้ โดยการเพิ่มความเร็วการเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่พื้นที่ที่มีน้ำอุ่นขึ้น โดยมีตาแจ่มชัดและปรากฏให้เห็นอย่างน่าทึ่งผ่านภาพถ่ายดาวเทียน
- วันที่ 10 กรกฎาคม เวลา 21:00 UTC ในที่สุด คริสก็ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคน[16]
- วันที่ 11 กรกฎาคม เวลา 03:00 UTC คริสได้ทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 2 โดยแถบการพาความร้อนภายในแกนเปลี่ยนผ่านไปเป็นกำแพงตาอย่างเต็มรูปแบบ[17] อย่างไรก็ตาม ตาของพายุเฮอริเคนเริ่มที่จะรุ่งริ่งในภายหลังและไม่แจ่มชัด ทำให้มันอ่อนกำลังลงเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 ในเวลา 21:00 UTC[18]
- วันที่ 12 กรกฎาคม ในขณะที่พายุเคลื่อนที่ข้ามกัลฟ์สตรีมต่อเนื่อง คริสได้อ่อนกำลังลงโดยมีความรุนแรงต่ำกว่าพายุเฮอริเคนในเวลา 09:00 UTC[19] ในเวลานี้ คริสได้เริ่มกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน และยังเกิดการขยายออกของสนามลมอีกด้วย คริสได้เปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน และรวมเข้ากับระบบแนวปะทะอากาศในอีกหกชั่วโมงต่อมา[20]
ในวันที่ 7 มีผู้ชายคนหนึ่งเสียชีวิตจากการจมน้ำในทะเลที่มีพายุรุนแรง โดยคาดว่าเป็นพายุที่เมืองคิลเดวิลฮีลส์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา[21] ตัวพายุหมุนนอกเขตร้อนทำให้เกิดฝนตกหนักและลมกระโชกแรงในท้องที่นิวฟันด์แลนด์และลาบราดอร์ ในเมืองแกนเดอร์ วัดปริมาณน่ำฝนสูงสุดที่ 3.0 นิ้ว (76 มม.) ขณะที่ในเมืองเฟอร์รีแลนด์ วัดความเร็วลมได้ถึง 60 ไมล์/ชม. (96 กม./ชม.)[22] ปริมาณน้ำฝนสะสมสูงสุดในเกาะแซเบิลวัดได้ที่ 4.39 นิ้ว (111.6 มม.)[23]
พายุโซนร้อนเดบบี
[แก้]พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 7 – 9 สิงหาคม | ||
ความรุนแรง | 50 ไมล์/ชม. (85 กม./ชม.) (1 นาที) 1000 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.53 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 4 สิงหาคม ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติเริ่มติดตามหย่อมความกดอากาศต่ำนอกเขตร้อน ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยมีแนวโน้มจะพัฒนาเป็นพายุหมุนเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน[24] ในขั้นแรก การพาความร้อนยังมีอยู่ในระดับที่จำกัด โดยระบบส่วนมากมีการพาความร้อนที่น้อยหมุนรอบทำปฏิกิริยากับความกดอากาศต่ำชั้นบน
- วันที่ 7 สิงหาคม อย่างไรก็ตาม ระบบเข้าสู่บริเวณที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมมากขึ้น โดยเริ่มมีคุณลักษณะแบบกึ่งเขตร้อนขึ้น เวลา 15:00 UTC หย่อมความกดอากาศต่ำพัฒนาตัวขึ่น โดยมีการพาความร้อนและถูกจัดให้เป็นพายุกึ่งโซนร้อน เดบบี (Debby)[25] โดยระบบพายุเริ่มมีลักษณะของพายุหมุนเขตร้อนมากขึ้น ในขณะที่มันเคลื่อนตัวขึ้นไปทางเหนือ
- วันที่ 8 สิงหาคม เวลา 09:00 UTC เดบบีกลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนอย่างสมบูรณ์ โดยมีความเร็วลมสูงสุดเพิ่มขึ้นไปที่ 45 ไมล์/ชม. (75 กม./ชม.)[26] แม้ว่าอุณหภูมิน้ำทะเลในมหาสมุทรจะไม่สูงก็ตาม เดบบียังคงทวีกำลังแรงขึ้น โดยมีความรุนแรงสูงสุดที่ความเร็วลม 50 ไมล์/ชม. (85 กม./ชม.)[27] จากนั้นมาเดบบีจึงอ่อนกำลังลง
- วันที่ 9 สิงหาคม เดบบีอ่อนกำลังลงและเริ่มสูญเสียคุณลักษณะของเขตร้อนไป ในเวลา 21:00 UTC เดบบีอ่อนกำลังลงเป็นพายุหมุนหลังเขตร้อน ในขณะที่มันเคลื่อนที่เร่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ นำหน้าร่องคลื่นสั้นไป[28]
พายุโซนร้อนเอร์เนสโต
[แก้]พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 15 – 18 สิงหาคม | ||
ความรุนแรง | 45 ไมล์/ชม. (75 กม./ชม.) (1 นาที) 999 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.5 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 12 สิงหาคม ระบบหย่อมความกดอากาศต่ำนอกเขตร้อนที่ซับซ้อนก่อตัวขึ้นบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ[29]
- วันที่ 14 สิงหาคม หย่อมความกดอากาศต่ำดังกล่าวเคลื่อนตัวเลี้ยวไปทางตะวันออกเฉียงใต้และอ่อนกำลังลงอย่างช้า ๆ และมีหย่อมความกดอากาศต่ำหย่อมใหม่ก่อตัวขึ้น ทางด้านตะวันออกของหย่อมเดิม[30]
- วันที่ 15 สิงหาคม เวลา 09:00 UTC หย่อมความกดอากาศต่ำที่ก่อตัวขึ้นนั้น มีการจัดระบบเพียงพอที่จะถูกจัดเป็นพายุดีเปรสชันกึ่งเขตร้อนได้[31] ต่อมาในเวลา 15:00 UTC พายุดีเปรสชันได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุกึ่งโซนร้อน และได้รับชื่อว่า เอร์เนสโต (Ernesto)[32]
- วันที่ 16 สิงหาคม พายุหมุนกึ่งเขตร้อนเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนเขตร้อนอย่างสมบูรณ์ โดยมีการพาความร้อนเริ่มต้นขึ้นใกล้กับศูนย์กลาง อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักมันได้สลายตัวไป[33] แต่กระนั้น ได้มีพลังลมฉับพลัน (burst) ของการพาความร้อนอีกระบบก่อตัวขึ้นใกล้กับศูนย์กลางภายในเวลาไม่กี่ขั่วโมงนับจากนั้น[34]
- วันที่ 17 สิงหาคม เอร์เนสโตเริ่มเร่งความเร็วไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ และระบบได้เข้าไปพัวพันอยู่ในลมกรด
- วันที่ 18 สิงหาคม พายุได้เปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน[35]
- วันที่ 19 สิงหาคม เศษที่หลงเหลือของเอร์เนสโตส่งผลกระทบกับประเทศไอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร[36][37]
พายุเฮอริเคนฟลอเรนซ์
[แก้]พายุเฮอริเคนระดับ 4 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 31 สิงหาคม – 17 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 140 ไมล์/ชม. (220 กม./ชม.) (1 นาที) 939 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 27.73 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 28 สิงหาคม ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติเริ่มกล่าวถึง ความเป็นไปได้ว่าจะก่อตัวเป็นพายุหมุนเขตร้อนจากคลื่นเขตร้อน ที่ปรากฏขึ้นทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา[38]
- วันที่ 30 สิงหาคม คลื่นเขตร้อนเคลื่อนตัวออกจากชายฝั่งของประเทศเซเนกัล พร้อมกับพายุฝนฟ้าคะนองที่ไม่เป็นระเบียบ[39] และหย่อมความกดอากาศต่ำที่ปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัด[40] เนื่องจากระบบได้คุกคามหมู่เกาะกาบูเวร์ดี ทำให้ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติได้ริเริ่มออกคำแนะนำกับ หย่อมความกดอากาศต่ำที่มีศักยภาพพัฒนาเป็นพายุหมุนเขตร้อนได้ ลูกที่ 6 ในเวลา 15:00 UTC[41]
- วันที่ 31 สิงหาคม เวลา 21:00 UTC ระบบได้จัดระบบจนกลายเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนลูกที่ 6[42]
- วันที่ 1 กันยายน พายุดีเปรสชันเขตร้อนลูกที่ 6 ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน ฟลอเรนซ์ (Florence) โดยมีการทวีกำลังแรงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในขณะที่พายุกำลังเคลื่อนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเฉเหนือ ข้ามผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกตอนกลาง
- วันที่ 4 กันยายน เวลา 15:00 UTC ฟลอเรนซ์ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนลูกที่สามของฤดูกาล[43]
- วันที่ 5 กันยายน ฟลอเรนซ์เผชิญกับการทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วแบบกะทันหัน กลายเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 3[44] การทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงเวลา 21:00 UTC โดยฟลอเรนซ์มีความรุนแรงเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 4 ที่ 22°24′N 46°12′W / 22.4°N 46.2°W[45] นับเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 4 ที่อยู่ไกลไปทางตะวันออกมากกว่าพายุระดับ 4 ลูกอื่นในยุคดาวเทียมของมหาสมุทรแอตแลนติก[46] อย่างไรก็ตาม การทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้พายุที่ทรงพลังเบนทิศทางออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เข้าสู่พื้นที่ของลมเฉือนแนวตั้งขนาดใหญ่[47]
- วันที่ 7 กันยายน ผ่านมากว่า 30 ชั่วโมง ฟลอเรนซ์ได้อ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วเป็นพายุโซนร้อน เนื่องจากลมเฉือนที่มีกำลังแรง พร้อมกับรูปแบบเมฆของพายุที่เริ่มบิดเบี้ยวไป[48]
- วันที่ 9 กันยายน ต่อมาฟลอเรนซ์ได้เข้าสู่พื้นที่ของลมเฉือนที่น้อยลง และเข้าสู่บริเวณที่มีน้ำอบอุ่นกว่า ทำให้ฟลอเรนซ์กลับมาทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนได้อีกครั้ง[49]
- วันที่ 10 กันยายน ฟลอเรนซ์เผชิญกับการทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วครั้งที่สอง และมีกำลังเป็นพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่อีกครั้ง[50] เวลา 16:00 UTC ฟลอเรนซ์ทวีกำลังกลับเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 4[51]
- วันที่ 13 กันยายน ฟลอเรนซ์ส่งผลกระทบกับชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม ฟลอเรนซ์ได้เผชิญกับวัฏจักรการแทนที่กำแพงตาและประสบกับลมเฉือนกำลังปานกลางโดยบังเอิญ ทำให้มันอ่อนกำลังลงเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 2[52]
- วันที่ 16 กันยายน เมื่อพายุขึ้นฝั่งแล้ว ฟลอเรนซ์อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนอย่างรวดเร็วบนแผ่นดิน โดยศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติได้ออกคำแนะนำสุดท้ายในเวลา 10:00 UTC ผ่านความรับผิดชอบของศูนย์พยากรณ์อากาศ ในขณะนั้น ฟลอเรนซ์ได้เริ่มเร่งทิศทางไปทางตะวันตกอย่างค่อยเป็นค่อยไป[53]
- วันที่ 17 กันยายน ฟลอเรนซ์เลี้ยวไปทางตะวันออกเฉียงเหนืออย่างช้า ๆ พร้อมทั้งอ่อนกำลังลงอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดฟลอเรนซ์ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำที่หลงเหลือ บริเวณรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย สหรัฐ[54] โดยฟลอเรนซ์ยังคงคุกคามแผ่นดินต่อไป โดยทิ้งฝนปริมาณมหาศาลในอีสเทิร์นซีบอร์ด
- วันที่ 19 กันยายน ระบบสลายตัวไปอย่างสมบูรณ์ในพื้นที่เปิดของมหาสมุทรแอตแลนติด[55]
ฟลอเรนซ์เป็นภัยคุกคามขนาดใหญ่กับชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรัฐนอร์ทแคโรไลนาและรัฐเซาท์แคโรไลนา ซึ่งมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายรัฐ รวมถึงรัฐเวอร์จิเนีย รัฐแมริแลนด์[56]และ วอชิงตัน ดี.ซี.ด้วย[57] ส่วนศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติได้ประกาศให้เป็นพื้นที่เฝ้าระวังพายุเฮอริเคนในเวลา 09:00 UTC ของวันที่ 11 กันยายน[58]
พายุโซนร้อนกอร์ดอน
[แก้]พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 3 – 8 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 70 ไมล์/ชม. (110 กม./ชม.) (1 นาที) 997 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.44 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 30 สิงหาคม ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติเริ่มติดตามหย่อมความกดอากาศต่ำ ที่ก่อตัวขึ้นอยู่ทางตอนกลางค่อนไปทางเหนือของแคริบเบียน และให้หย่อมดังกล่าวมีโอกาสพัฒนาขึ้น 30% ภายใน 5 วัน[59] การจัดระบบของหย่อมค่อย ๆ ดำเนินไปเรื่อย ๆ ในขณะที่มันเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ มุ่งหน้าสู่ประเทศบาฮามาส
- วันที่ 2 กันยายน เวลา 18:00 UTC หย่อมความกดอากาศต่ำถูกปรับให้เป็นระบบที่มีศักยภาพพัฒนาเป็นพายุหมุนเขตร้อนหมายเลขเจ็ด (Potential Tropical Cyclone Seven) และได้พยากรณ์ว่ามันจะส่งผลกระทบกับแผ่นดินในฐานะพายุโซนร้อนภายในสองวัน[60]
- วันที่ 3 กันยายน เวลา 12:05 UTC ระบบได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อ กอร์ดอน (Gordon) ขณะที่ระบบพายุกำลังเคลื่อนตัวอยู่เหนือฟลอริดาคีย์[61] แม้ว่าพายุจะทวีกำลังแรงขึ้นอีกเล็กน้อย ขณะเคลื่อนตัวปกคลุมอยู่ทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดา แต่แกนกลางของพายุนั้นถูกรบกวน และการพาความร้อนที่เกี่ยวข้องกับระบบพายุเริ่มที่จะไม่เป็นระบบ[62] ต่อมาพายุได้เคลื่อนตัวลงสู่อ่าวเม็กซิโกในช่วงปลายของวัน ทำให้พายุกอร์ดอนเริ่มทวีกำลังแรงขึ้นอีกครั้ง และเริ่มมีการจัดระบบที่มากขึ้น โดยมีแถบของการพาความร้อนอย่างรวดเร็ว (deep convection) ก่อตัวขึ้นใกล้กับศูนย์กลางขนาดเล็กขอระบบพายุ
- วันที่ 4 กันยายน พายุกอร์ดอนถึงความรุนแรงสูงสุด โดยมีความเร็วลมเฉลี่ยต่อเนื่องใน 1 นาทีที่ 70 ไมล์/ชม. (110 กม./ชม.) และเพียงไม่นานนักก็ได้พัดขึ้นฝั่งทางตะวันตกของรอยต่อระหว่างรัฐแอละแบมากับรัฐมิสซิสซิปปี[63] หลังจากพัดขึ้นฝั่งแล้ว กอร์ดอน ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน
- วันที่ 5 กันยายน ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติออกคำแนะนำสุดท้ายกับระบบพายุกอร์ดอนในเวลา 16:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (CDT) ตัวพายุเคลื่อนตัวต่อไปในแผ่นดิน และอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว และไปเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ เหนือภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ เป็นเวลาถึง 2 วัน
- วันที่ 8 กันยายน พายุได้สลายตัวลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำที่หลงเหลือ (remnant low) อย่างสมบูรณ์ โดยเศษที่หลงเหลือนี้เคลื่อนตัวต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ และทิ้งปริมาณน้ำฝนไว้เป็นจำนวนมาก
- วันที่ 12 กันยายน เศษที่หลงเหลือจากพายุถูกดูดซึมไปโดยหน้าปะทะอากาศบริเวณนิวอิงแลนด์[64]
พายุเฮอริเคนเฮเลน
[แก้]พายุเฮอริเคนระดับ 2 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 7 – 16 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 110 ไมล์/ชม. (175 กม./ชม.) (1 นาที) 967 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 28.56 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 7 กันยายน ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติได้เริ่มติดตามหย่อมความกดอากาศต่ำที่อยู่ใกล้กับประเทศเซเนกัล ซึ่งเป็นหย่อมที่ก่อตัวขึ้นมาจากคลื่นในเขตร้อน ที่เคลื่อนตัวลงสู่ทะเลบริเวณชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก โดยมีการพยากรณ์ว่าระบบจะพัฒนาขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนในวันถัดไป[65] ระบบมีการจัดระบบอย่างรวดเร็ว ใกล้กับชายฝั่งด้านตะวันตกของทวีปแอฟริกา และถูกปรับให้เป็นระบบที่มีศักยภาพพัฒนาเป็นพายุหมุนเขตร้อนหมายเลขแปด ต่อมาในเวลา 12:00 UTC ระบบได้เคลื่อนตัวออกมาจากชายฝั่งของทวีปแอฟริกา และส่งผลกระทบต่อหมู่เกาะกาบูเวร์ดี[66] ระบบยังคงจัดระบบต่อไป และพัฒนาขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนแปด และทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน โดยได้รับชื่อ เฮเลน (Helene) ในวันเดียวกันนั้น
- วันที่ 9 กันยายน พายุโซนร้อนเฮเลนทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 ด้วยความเร็วลม 85 ไมล์/ชม. (140 กม./ชม.) ณ 13°54′N 27°12′W / 13.9°N 27.2°W[67] ตามรอยพายุเฮอริเคนเฟรดเมื่อปี 2558 ที่ก่อตัวเป็นพายุเฮอริเคนทางฝั่งตะวันออกที่สุดของบริเวณพัฒนาหลัก (Main development region หรือ MDR) ในช่วงยุคดาวเทียม[68]
- วันที่ 10 กันยายน เวลา 15:00 UTC เฮเลนทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 2[69]
- วันที่ 13 กันยายน เวลา 15:00 UTC เฮเลนอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนอย่างรวดเร็ว โดยในเวลา 21:00 UTC มีการประกาศการเฝ้าระวังพายุโซนร้อน (Tropical storm watches) ในพื้นที่อะโซร์ส
- วันที่ 14 กันยายน เวลา 09:00 UTC มีการยกระดับการเฝ้าระวังในพื้นที่ดังกล่าวขึ้นเป็นการเตือนภัย โดยตั้งแต่เมื่อวานนี้ พายุเฮเลนมีปฏิสัมพันธ์กับพายุโซนร้อนจอยซ์ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าอยู่ทางตะวันตก อันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ฟูจิวาระ ทำให้การเคลื่อนตัวของพายุจอยซ์เกิดการหมุนทวนเข็มนาฬิการอบพายุเฮเลน[70] โดยในภายหลัง เฮเลยได้เริ่มเคลื่อนตัวเร่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
- วันที่ 15 กันยายน พายุเฮเลนเคลื่อนตัวผ่านบริเวณอะโซร์ส[71]
- วันที่ 16 กันยายน พายุเฮเลนเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน ขณะที่กำลังเคลื่อนตัวไปทางบริติชไอลส์[72] และกลายเป็นชื่อของพายุลูกแรกในฤดูพายุลมทวีปยุโรป พ.ศ. 2561–2562[73]
- วันที่ 18 กันยายน เฮเลนเคลื่อนตัวผ่านชายขอบทางตอนเหนือของประเทศไอร์แลนด์[74] ก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่ทะเลนอร์วีเจียน[75]
- วันที่ 22 กันยายน เศษที่หลงเหลือของเฮเลนถูกดูดซึมไปโดยพายุนอกเขตร้อนลูกอื่น[76]
ฝนที่ตกอย่างหนักจากเซลล์ตั้งต้นของคลื่นในเขตร้อนในประเทศกินี ทำให้เกิดอุทกภัยขึ้น ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 3 คนที่เมืองโดโกในวันที่ 6 กัรยายน[77] เมื่อเป็นพายุหมุนเขตร้อน ในวันที่ 15 กันยายน เฮเลนเคลื่อนตัวผ่านเข้าใกล้เกาะฟลอเรสในอะโซร์ส ด้วยความเร็วลมสูงสุด 62 ไมล์/ชม. (100 กม./ชม.) หลังจากที่เปลี่ยนผ่านเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนโดยสมบูรณ์แล้ว อดีตพายุเฮอริเคนเฮเลนได้เคลื่อนตัวต่อไปส่งผลกระทบกับประเทศไอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร โดยมีการเตือนภัยลมฟ้าอากาศในพื้นที่ภาคใต้และตะวันตกของสหราชอาณาจักร ซึ่งมีการพยากรณ์ว่าจะมีลมพัดเร็วสูงสุด 105 กม./ชม.[78] อย่างไรก็ตาม เฮเลนอ่อนกำลังลงเมื่อเคลื่อนตัวเข้าสู่เกาะอังกฤษ การเตือนภัยลมฟ้าอากาศทั้งหมดจึงยุติลงในวันที่ 18 กันยายน โดยเฮเลนเคลื่อนตัวผ่านนอร์เทิร์นอิงแลนด์ และสร้างความเสียหายขึ้นเพียงเล็กน้อย
พายุเฮอริเคนไอแซก
[แก้]พายุเฮอริเคนระดับ 1 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 7 – 15 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 75 ไมล์/ชม. (120 กม./ชม.) (1 นาที) 993 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.32 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 2 กันยายน ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติเริ่มติดตามคลื่นในเขตร้อนที่อยู่บริเวณแอฟริกาตะวันตก[79]
- วันที่ 7 กันยายน การพยากรณ์บ่งชี้ว่าคลื่นในเขตร้อนนี้มีโอกาสถึง 90% ที่จะพัฒนาขึ้นเป็นพายุหมุนเขตร้อนภายในไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งต่อมาในวันเดียวกันนี้ ระบบดังกล่าวที่ก่อตัวขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนแปด[80]
- วันที่ 8 กันยายน พายุดีเปรสชันเขตร้อนได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อว่า ไอแซก (Isaac)[81]
- วันที่ 10 กันยายน พายุโซนร้อนไอแซกทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 ต่อจากพายุเฮเลน โดยมีข้อสังเกตว่าระบบดังกล่าวนี้มีขนาดค่อนข้างเล็ก[82]
- วันที่ 11 กันยายน เวลา 03:00 UTC พายุเฮอริเคนไอแซกอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน
- วันที่ 14 กันยายน เวลา 09:00 UTC พายุโซนร้อนไอแซกอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน[83] อย่างไรก็ตาม ในเวลา 21:00 UTC ไอแซกได้กลับทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนอีกครั้งเป็นเวลาสั้น ๆ ก่อนจะอ่อนกำลังกลับไปเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนดังเดิมอีกครั้ง
- วันที่ 15 กันยายน เวลา 10:00 UTC พายุดีเปรสชันเขตร้อนไอแซกสลายตัวไป โดยถูกยึดออกเป็นร่อง (trough)[84]
พายุโซนร้อนจอยซ์
[แก้]พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 12 – 19 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 50 ไมล์/ชม. (85 กม./ชม.) (1 นาที) 997 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.44 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 11 กันยายน ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติได้เริ่มติดตามหย่อมความกดาอากาศต่ำนอกเขตร้อน ที่ทอดตัวอยู่ในแนวของร่องความกดอากาศต่ำ[85] ระบบมีการพัฒนาตรงกันข้ามกับการพยากรณ์ โดยหย่อมความกดอากาศต่ำมีลักษณะแบบกึ่งเขตร้อนอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงใต้
- วันที่ 12 กันยายน หย่อมความกดอากาศต่ำเขตร้อนทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุกึ่งโซนร้อน และได้รับชื่อว่า จอยซ์ (Joyce)[86]
- วันที่ 13 กันยายน พายุจอยซ์มีปฏิสัมพันธ์กับพายุเฮอริเคนเฮเลนที่มีขนาดใหญ่กว่า โดยเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ฟูจิวาระ ทำให้จอยซ์เริ่มเคลื่อนตัวแบบหมุนทวนเข็มนาฬิการอบพายุเฮเลน[70]
- วันที่ 14 กันยายน เวลา 03:00 UTC จอยซ์เปลี่ยนผ่านมาเป็นพายุโซนร้อน[87] และเริ่มเคลื่อนตัวไปทางตะวันออก[88] ในช่วงปลายของวัน พายุจอยซ์มีกำลังสูงสุด โดยปรากฏการจัดระบบที่มากขึ้นในภาพถ่ายดาวเทียม[89] หลังจากนั้น พายุจอยซ์จึงเริ่มอ่อนกำลังลง เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของลมเฉือน
- วันที่ 16 กันยายน เวลา 15:00 UTC จอยซ์อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน[90]
- วันที่ 19 กันยายน เวลา 03:00 UTC จอยซ์อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำที่หลงเหลือ ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติจึงได้ออกคำแนะนำฉบับสุดท้ายกับระบบ[91]
พายุดีเปรสชันเขตร้อนลูกที่เจ็ด
[แก้]พายุดีเปรสชันเขตร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 22 – 23 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 35 ไมล์/ชม. (55 กม./ชม.) (1 นาที) 1007 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.74 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 14 กันยายน คลื่นในเขตร้อนเคลื่อนตัวออกจากชายฝั่งด้านตะวันตกของทวีปแอฟริกา พร้อมกับสัญญาณที่แสดงถึงการหมุนเวียน เมื่อคลื่นดังกล่าวเคลื่อนตัวเข้ามาในเขตร้อนของแอตแลนติกแล้ว การหมุนเวียนดังกล่าวได้อ่อนกำลังลงไปเล็กน้อย โดยตัวคลื่นมีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางตะวันตก พร้อมกับพัฒนาการพาความร้อนและการจัดระบบที่ดีขึ้น[92]
- วันที่ 18 กันยายน พื้นที่ขนาดใหญ่ของลมฟ้าอากาศแปรปรวนอันเกี่ยวเนื่องกับคลื่นในเขตร้อน ก่อตัวขึ้นห่างไกลจากเลสเซอร์แอนทิลลีสไปทางตะวันออกเฉียงใต้เฉตะวันออก[93]
- วันที่ 20 กันยายน ในขั้นเริ่มแรก ระบบขาดการหมุนเวียนที่พื้นผิว แม้ว่าจะมีการหมุนเวียนกำลังอ่อนเกิดขึ้น อีกทั้งยังคาดว่าจะมีลมระดับสูงกำลังแรง และอากาศแห้งเข้ามาจำกัดการพัฒนาของพายุด้วย[94]
- วันที่ 22 กันยายน การพาความร้อนอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะถูกพัดให้เคลื่อนไปอยู่ด้านตะวันออกของศูนย์กลางก็ตาม ทำให้พายุดีเปรสชันเขตร้อนก่อตัวขึ้นในเวลา 03:00 UTC[95]
- วันที่ 23 กันยายน อย่างไรก็ตาม พายุดีเปรสชันล้มเหลวในการทวีกำลังแรงขึ้น ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดูเป็นมิตรกับพายุมากขึ้น ทำให้มันสลายตัวโดยถูกยึดออกเป็นส่วนหนึ่งของร่อง[96]
พายุโซนร้อนเคิร์ก
[แก้]พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 22 – 29 กันยายน | ||
ความรุนแรง | 60 ไมล์/ชม. (95 กม./ชม.) (1 นาที) 998 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.47 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 21 กันยายน คลื่นในเขตร้อนเคลื่อนตัวออกมาจากชายฝั่งด้านตะวันตกของทวีปแอฟริกา ใกล้กับประเทศเซียร์ราลีโอน[97] ตรงกันข้ามกับการพยากรณ์ที่บอกว่ามันจะมีการจัดระบบอย่างข้า ๆ โดยตัวคลื่นมีการจัดระบบอย่างรวดเร็วภายในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ในขณะที่มันเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกอย่างรวดเร็วผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกด้านตะวันออก
- วันที่ 22 กันยายน เวลา 15:00 UTC คลื่นในเขตร้อนมีการจัดระบบอย่างเพียงพอที่จะถูกจัดให้เป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อว่า เคิร์ก (Kirk)[98] เคิร์กเป็นพายุที่ได้รับชื่อ ณ พิกัดที่ 8.3 องศาเหนือ ทำให้มันกลายเป็นพายุที่อยู่ในละติจูดต่ำที่สุดที่เป็นพายุโซนร้อนในแอ่งแอตแลนติกเหนือ นับตั้งแต่พายุเฮอริเคนไม่มีชื่อในปี 2445[99] เมื่อเปรียบเทียบในแง่ของการก่อตัวในละติจูดต่ำที่สุดในความรุนแรงระดับพายุดีเปรสชันเขตร้อน ของแอ่งแอตแลนติกเหนือนั้นตำแหน่งนี้เป็นของพายุเฮอริเคนอิซิดอร์ เมื่อปี 2533 ซึ่งก่อตัวขึ้นที่ละติจูด 7.2 องศาเหนือ[100]
- วันที่ 24 กันยายน มีการเปลี่ยนแปลงความรุนแรงเล็กน้อยเกิดขึ้น ในขณะที่เคิร์กกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วข้ามเขตร้อนของมหาสมุทรแอตแลนติก และอาจเพราะความเร็วในการเคลื่อนตัวของมัน ทำให้มันอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อน[101] ก่อนสลายตัวเป็นร่องเปิด (open trough) ในเวลา 15:00 UTC[102]
- วันที่ 26 กันยายน เศษที่เหลือของพายุยังคงเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกอย่างต่อเนื่อง และมีการจัดระบบขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว กระทั่งในเวลา 09:00 UTC เศษที่หลงเหลือของเคิร์กมีการไหลเวียนที่ดี ทำให้มันถูกจัดให้เป็นพายุโซนร้อนอีกครั้ง[103] และมีการประกาศใช้การเฝ้าระวังและเตือนภัยพายุโซนร้อน[104][105] ระบบพายุที่ก่อตัวขึ้นมาใหม่เริ่มทวีกำลังแรงขึ้น จนในเวลา 18:00 UTC เคิร์กมีความรุนแรงสูงสุดโดยมีความเร็วลม 60 ไมล์/ชม. (95 กม./ชม.)[106] และด้วยลมเฉือนที่มีกำลังแรงทำให้มันอ่อนกำลังลงเล็กน้อย ในขณะที่มันเคลื่อนตัวถึงเลสเซอร์แอนทิลลีส
- วันที่ 28 กันยายน เวลาประมาณ 00:30 UTC เคิร์กได้พัดขึ้นฝั่งในประเทศเซนต์ลูเชีย[107] และอ่อนกำลังลงอย่างต่อเนื่องในขณะเคลื่อนตัวไปทางทะเลแคริบเบียน โดยการไหลเวียนที่พื้นผิวเริ่มเปิดออกไปทางตะวันตกของการพาความร้อนหลัก[108]
- วันที่ 29 กันยายน เคิร์กสลายตัวไปเป็นคลื่นในเขตร้อนเหนือด้านตะวันออกของทะเลแคริบเบียน[109]
พายุเฮอริเคนเลซลี
[แก้]พายุเฮอริเคนระดับ 1 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 23 กันยายน – 13 ตุลาคม | ||
ความรุนแรง | 90 ไมล์/ชม. (150 กม./ชม.) (1 นาที) 969 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 28.61 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 19 กันยายน ในช่วงกลายเดือนกันยายน ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติได้เริ่มเฝ้าระวังหย่อมความกดอากาศต่ำที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอะโซร์ส ที่อาจก่อตัวเป็นพายุหมุนเขตร้อนหรือพายุหมุนกึ่งเขตร้อนได้ในช่วงเวลานั้น[110]
- วันที่ 22 กันยายน หย่อมความกดอากาศต่ำก่อตัวขึ้นนอกเขตร้อน[111]
- วันที่ 23 กันยายน หย่อมดังกล่าวเปลี่ยนสถานะเป็นพายุเป็นพายุกึ่งโซนร้อนอย่างรวดเร็ว และได้รับชื่อจากศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติว่า เลซลี (Leslie)[112]
- วันที่ 25 กันยายน หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงความรุนแรงเล็กน้อยเกิดขึ้นในระยะเวลาสองวัน เลซลีก็เริ่มอ่อนกำลังลง ในขั้นแรกอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันกึ่งเขตร้อน[113] ก่อนจะกลับมาเป็นพายุหลังเขตร้อน (post-tropical) ในช่วงปลายของวัน ในขณะที่ระบบเริ่มรวมตัวเข้ากับระบบที่อยู่ข้างหน้า[114] เลซลีได้ควบรวมกับระบบข้างหน้าดังกล่าว และเริ่มเกิดวังวนพายุหมุน (Cyclonic loop) ไปทางตะวันตก รวมทั้งเกิดการทวีกำลังขึ้นในช่วงนี้ด้วย
- วันที่ 27 กันยายน เลซลีกลายเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนที่มีแรงลมระดับพายุเฮอริเคน[115]
- วันที่ 28 กันยายน หลังจากถึงความรุนแรงสูงสุดของตัวเลซลีที่เป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนแล้ว เลซลีค่อย ๆ อ่อนกำลังลง และเริ่มสูญเสียโครงสร้างแบบฟรอนทัลไป อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันเลซลีจึงเริ่มเกิดคุณลักษณะแบบกึ่งเขตร้อนขึ้น โดยในเวลา 21:00 UTC เลซลีได้กลายเป็นพายุกึ่งโซนร้อนอีกครั้ง[116]
- วันที่ 29 กันยายน หลังจากกลับมาทวีกำลังอีกครั้ง เลซลีได้กลายมาเป็นพายุหมุนเขตร้อนโดยสมบูรณ์[117]
- วันที่ 3 ตุลาคม เลซลีทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 และกลายเป็นพายุเฮอริเคนลูกที่หกของฤดูกาล[118] อย่างไรก็ตามพายุเลซลีได้อ่อนกำลังลงกลับไปเป็นพายุโซนร้อนในช่วงปลายของวัน โดยภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นว่า เลซลีอาจจะกำลังอยู่ในภาวะวัฏจักรการแทนที่กำแพงตา แม้ว่ามันจะมีตาพายุที่มีขนาดใหญ่มาก[119]
- วันที่ 7 ตุลาคม เลซลีเริ่มหันทิศทางมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้เฉตะวันออก[120]
- วันที่ 8 ตุลาคม หลังจากพ้นช่วงอ่อนกำลังลงไปแล้ว เลซลีได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนอีกครั้งในช่วงปลายของวัน[121]
- วันที่ 10 ตุลาคม เลซลีมีความรุนแรงเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 เป็นครั้งที่สอง[122]
- วันที่ 13 ตุลาคม เลซลีเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนที่มีกำลัง ขณะที่อยู่ห่างจากลิสบอนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเฉตะวันตก 190 กิโลเมตร
ในวันที่ 11 ตุลาคม มีการประกาศเตือนภัยพายุโซนร้อนในภูมิภาคปกครองตนเองมาเดรา นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเกาะ และพายุเลซลีถือเป็นพายุหมุนเขตร้อนลูกแรกที่พัดเข้าใกล้หมู่เกาะในระยะ 100 ไมล์ (160 กิโลเมตร) นับตั้งแต่ที่เริ่มมีการบันทึกในฤดูกาล 2349 โดยก่อนหน้าพายุเลซลี คือพายุเฮอร์ริเคตวินซ์ในฤดูกาล 2548 ที่พัดเข้าใกล้หมู่เกาะมากกว่าพายุหมุนเขตร้อนลูกใด[123]
ทางการของมาเดราประกาศปิดชายหาดและสวนสาธารณะ[124] เนื่องจากพายุทำให้มีเที่ยวบินของแปดสายการบินถูกยกเลิกเที่ยวบินที่บินไปยังมาเดรา การแข่งขันกีฬากว่า 180 การแข่งขันถูกยกเลิก[125]
พายุเฮอริเคนไมเคิล
[แก้]พายุเฮอริเคนระดับ 5 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 7 – 12 ตุลาคม | ||
ความรุนแรง | 160 ไมล์/ชม. (260 กม./ชม.) (1 นาที) 919 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 27.14 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 2 ตุลาคม ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติเริ่มเฝ้าระวังหย่อมความกดอากาศต่ำที่ก่อตัวขึ้นเหนือด้านตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลแคริบเบียน[126] ขณะที่ลมระดับบนที่พัดแรงได้เริ่มยับยั้งการพัฒนาตัวของระบบ ความแปรปรวนของสภาพอากาศได้มีการจัดระบบที่ดีขึ้นในขณะที่มันเคลื่อนที่เลี้ยวโค้งไปทางเหนือ และจากนั้นไปทางตะวันออกตามแนวของคาบสมุทรยูกาตัน
- วันที่ 6 ตุลาคม ระบบมีการจัดระบบเบียบทางเพียงพอที่จะประกาศให้เป็นหย่อมความกดอากาศต่ำที่มีศักยภาพพัฒนาเป็นพายุหมุนเขตร้อนได้ (Potential tropical cyclone) และศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติจึงได้ออกคำแนะนำกับระบบที่มีศักยภาพพัฒนาเป็นพายุหมุนเขตร้อนหมายเลขสิบสี่ (Potential Tropical Cyclone Fourteen)[127][128]
- วันที่ 7 ตุลาคม ระบบพัฒนาขึ้นเป็นพายุดีเปรสชัน[129] ก่อนที่จะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อ ไมเคิล (Michael) ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา[130]
- วันที่ 8 ตุลาคม พายุไมเคิลทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนอย่างรวดเร็ว[131]
- วันที่ 9 ตุลาคม ในขณะที่พายุเฮอริเคนไมเคิลอยู่ในแนวใกล้ประชิดชายฝั่งด้านอ่าวของสหรัฐ ไมเคิลได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ โดยบรรลุความเร็วลมที่ 120 ไมล์ต่อชั่วโมง ทำให้มันกลายเป็นพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่ลูกที่สองของฤดูกาล[132] อย่างไรก็ตาม ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติได้พยากรณ์ว่าพายุเฮอริเคนลูกนี้จะขึ้นฝั่งสหรัฐด้วยความเร็วลม 125 ไมล์ต่อชั่วโมง
- วันที่ 10 ตุลาคม ข้อมูลจากเฮอริเคนฮันเตอร์ยังแสดงให้เห็นว่าพายุไมเคิลนั้นทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นพายุระดับ 4 ในเวลา เวลา 06:00 UTC มีความเร็วลม 130 ไมล์ต่อชั่วโมง[133] เวลา 18:00 UTC ไมเคิลพัดขึ้นฝั่งเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 5 ด้วยความเร็วลมต่อเนื่องที่ 160 ไมล์ต่อชั่วโมง (250 กม./ชม.) และมีความกดอากาศต่ำที่สุด 919 มิลลิบาร์ (27.1 นิ้วปรอท) กลายเป็นพายุที่ทรงพลัง (มีความรุนแรง) ที่สุดในฤดูกาล และยังเป็นพายุที่มีความรุนแรงเป็นอันดับที่สาม ในบรรดาพายุเฮอริเคนที่พัดขึ้นฝั่งสหรัฐ ในแง่ความกดอากาศที่ศูนย์กลาง[134]
- วันที่ 12 ตุลาคม หลังจากที่พายุไมเคิลเคลื่อนที่ผ่านทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ ตัวพายุได้กลับทวีกำลังแรงขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากผลของแรงบารอคลินิก (Baroclinic forcing) อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ระบบพายุได้เปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน[135]
หย่อมความกดอากาศต่ำที่จะพัฒนาตัวขึ้นเป็นพายุไมเคิล และหย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมด้านมหาสมุทรแปซิฟิกของทวีปอเมริกากลาง ทำให้เกิดอุทกภัยในทวีปอเมริกากลาง[136] บ้านเรือนเกือบ 2,000 หลังในประเทศนิการากัวได้รับความเสียหาย ประชาชน 1,115 คนถูกอพยพ บ้านเรือนประชาชนในประเทศเอลซัลวาดอร์และฮอนดูรัสก็ได้รับความเสียหาย 253 และ 180 หลังตามลำดับ ประชาชนในทั้งสามประเทศดังกล่าวกว่า 22,700 คนได้รับผลกระทบโดยตรงจากพายุ[137] ในสหรัฐ ความเสียหายระดับมหันตภัยเกิดขึ้นในเมืองเม็กซิโกบีช รัฐฟลอริดา เนื่องจากเป็นบริเวณที่พายุพัดขึ้นฝั่งขณะมีกำลังสูงที่สุด[138] พายุไมเคิลทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 60 ราย โดยอย่างน้อย 15 รายในทวีปอเมริกากลาง แบ่งเป็น ในประเทศฮอนดูรัส 8 คน[139] ประเทศนิการากัว 4 ราย และประเทศเอลซัลวาดอร์ 3 ราย[136][137] ส่วนในสหรัฐ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 57 รายทั่วรัฐฟลอริดา รัฐจอร์เจีย รัฐนอร์ทแคโรไลนา และรัฐเวอร์จิเนีย โดยส่วยมากอยู่ในรัฐฟลอริดา[140][141][142] ไมเคิลทำให้เกิดความเสียหายขึ้นอย่างน้อย 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.83 แสนล้านบาท) ในสหรัฐ[143] และยังมีความเสียหายเพิ่มเติมอีก 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในทวีปอเมริกากลาง[144]
พายุโซนร้อนนาดีน
[แก้]พายุโซนร้อน (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 9 – 12 ตุลาคม | ||
ความรุนแรง | 65 ไมล์/ชม. (100 กม./ชม.) (1 นาที) 997 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 29.44 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 7 ตุลาคม ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติได้เริ่มเฝ้าระวังหย่อมความกดอากาศต่ำที่มีความเกี่ยวข้องกับคลื่นในเขตร้อนปลายฤดูกาล ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่เกาะกาบูเวร์ดีไปทางใต้หลายร้อยไมล์ โดยมีความเป็นไปได้ว่าจะพัฒนาขึ้นเป็นพายุหมุนเขตร้อน[145] หย่อมความกดอากาศต่ำนั้นยังคงจัดระเบียบตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่ภาพรวมของระบบกำลังเคลื่นที่ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเฉตะวันตก ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกตะวันออก
- วันที่ 9 ตุลาคม ระบบมีศูนย์กลางการหมุนเวียนที่ชัดเจน จึงได้รับการประกาศให้เป็นพายุดีเปรสชัน[146] อีกห้าชั่วโมงต่อมา พายุดีเปรสชันดังกล่าวได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และได้รับชื่อ นาดีน (Nadine)[147] เมื่อถูกกำหนดว่าเป็นพายุโซนร้อนตั้งแต่อยู่ที่เส้นเมริเดียนที่ 30 องศาตะวันตก นาดีนจึงกลายเป็นพายุที่อยู่ทางตะวันออกที่สุดที่ถูกตั้งชื่อในแอ่งแอตแลนติก ในช่วงปลายของปีปฏิทิน[148]
- วันที่ 10 ตุลาคม การทวีกำลังเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเกิดขึ้นในขณะที่พายุนาดีนกำลังเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ และถึงจุดที่มีความรุนแรงสูงสุดในฐานะพายุโซนร้อนที่ความเร็วลม 65 ไมล์/ชม. (100 กม./ชม.) และมีคุณลักษณะของตาในระดับกลางที่ดีปรากฏขึ้น[149] อย่างไรก็ตาม พายุหมุนเขตร้อนลูกเล็กนี้ได้พบกับสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยมากขึ้น และเริ่มอ่อนกำลังลงเมื่อศูนย์กลางระดับต่ำ เริ่มถูกเปิดออกจากผลของลมเฉือนตะวันตกกำลังแรง[150]
- วันที่ 13 ตุลาคม เวลา 03:00 UTC นาดีนสลายตัวลงไปเป็นคลื่นในเขตร้อน และยังคงเคลื่อนที่ไปทางตะวันตกในแนวเขตร้อนของมหาสมุทรแอตแลนติกต่อไป[151]
พายุเฮอริเคนออสการ์
[แก้]พายุเฮอริเคนระดับ 2 (SSHWS) | |||
---|---|---|---|
| |||
ระยะเวลา | 27 – 31 ตุลาคม | ||
ความรุนแรง | 105 ไมล์/ชม. (165 กม./ชม.) (1 นาที) 970 มิลลิบาร์ (เฮกโตปาสกาล 28.64 นิ้วปรอท) |
- วันที่ 23 ตุลาคม ศูนย์เฮอริเคนกลางเริ่มพยากรณ์บริเวณที่มีศักยภาพก่อตัวเป็นพายุเขตร้อนหรือนอกเขตร้อน บริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกกลาง[152] บริเวณขนาดใหญ่ของพื้นที่อากาศแปรปรวนนั้นมีความเกี่ยวข้องกันกับการก่อตัวของร่องความกดอากาศต่ำที่พื้นผิว[153]
- วันที่ 26 ตุลาคม การจัดระบบเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เป็นผลมาจากการที่หย่อมความกดอากาศต่ำเบี่ยงเส้นทางไปทางทิศเหนือ พร้อมด้วยการมีฝนตกและพายุฝนฟ้าคะนองซึ่งเป็นความหมายที่ดี แม้ว่ามันจะยังขาดการไหลเวียนที่ชัดเจนที่พื้นผิวก็ตาม[154]
- วันที่ 27 ตุลาคม อย่างไรก็ตาม การไหลเวียนของหย่อมความกดต่ำอย่างหลวม ได้มีขึ้นอย่างเพียงพอที่จะจัดให้ระบบเป็นพายุกึ่งโซนร้อน และได้ชื่อว่า ออสการ์ (Oscar)[155]
- วันที่ 28 ตุลาคม ออสการ์ยังคงทวีกำลังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มันเร่งความเร็วไปทางใต้ในบริเวณด้านเหนือของความกดอากาศต่ำระดับกลางถึงบน และเปลี่ยนผ่านมาเป็นพายุโซนร้อนในเวลา 05:00 UTC[156] ตาพายุขนาดเล็กปรากฏให้เห็นชัดในภาพถ่ายดาวเทียม และต่อมาออสการ์ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 ในเวลา 21:00 UTC
- วันที่ 30 ตุลาคม ออสการ์ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 2 ในเวลา 03:00 UTC[157] อย่างไรก็ตาม ระบบพายุได้อ่อนกำลังลงไปเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 1 ตามเดิมในเวลา 21:00 UTC ในขณะที่มันเดินทางมุ่งหน้าไปทางเหนือ[158]
- วันที่ 31 ตุลาคม ออสการ์เกิดการ "เปลี่ยนแปลงคอสตูม" อย่างรวดเร็ว[159] ในขณะที่มันเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน และกระบวนการสมบูรณ์ในเวลา 21:00 UTC[160]
รายชื่อพายุ
[แก้]รายชื่อต่อไปนี้จะใช้สำหรับพายุที่ก่อตัวในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือในปี พ.ศ. 2561 หากมีชื่อที่ถูกปลด จะมีการประกาศโดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกในฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2562 และชื่อที่ไม่ได้ถูกปลดจากรายการนี้จะถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2567 โดยรายการที่ใช้ในปีนี้เป็นรายการเดียวกับที่ใช้ในฤดูกาล พ.ศ. 2555 เว้นชื่อ ซารา ซึ่งถูกนำมาใช้แทนที่ แซนดี
|
|
|
การถอนชื่อ
[แก้]วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2562 การประชุมครั้งที่ 41 ของคณะกรรมการเฮอริเคนภูมิภาคสี่ขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ได้ถอนชื่อ ฟลอเรนซ์ (Florence) และ ไมเคิล (Michael) ออกจากชุดรายชื่อเนื่องจากสร้างความเสียหายและทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งชื่อทั้งสองจะไม่ถูกนำกลับมาใช้อีกในฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก โดยคณะกรรมการฯ ได้เลือกชื่อ แฟรนซีน (Francine) และ มิลตัน (Milton) ขึ้นมาทดแทนตามลำดับ และจะเริ่มใช้ชื่อดังกล่าวในฤดูกาล 2567[161]
ผลกระทบ
[แก้]ตารางนี้แสดงพายุทั้งหมดที่ก่อตัวในฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก พ.ศ. 2561 ประกอบด้วยชื่อพายุ ระยะเวลา พื้นที่ขึ้นฝั่งได้รับผลกระทบ ความเสียหาย และจำนวนผู้เลียชีวิตทั้งหมด ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตในวงเล็บคือการเสียชีวิตเพิ่มเติมและการเสียชีวิตโดยทางอ้อม (เช่นการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนน) แต่ยังคงมีความเกี่ยวข้องกับพายุหมุนเขตร้อนอยู่ ความเสียหายและจำนวนผู้เสียชีวิตนั้นจะรวมไปจนถึงขณะที่พายุกลายเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน คลื่นในเขตร้อน หรือ บริเวณความกดอากาศต่ำด้วย ความเสียหายทั้งหมดอยู่ในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ชื่อ พายุ |
วันที่ | ระดับความรุนแรง ขณะมีความรุนแรงสูงสุด |
ลมสูงสุด 1-นาที ไมล์/ชม. (กม./ชม.) |
ความกดอากาศ (มิลลิบาร์) |
พื้นที่ได้รับผลกระทบ | ความเสียหาย (ดอลลาร์สหรัฐ) |
เสียชีวิต | อ้างอิง
| |||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อัลเบร์โต | 25 – 31 พฤษภาคม | พายุโซนร้อน | 65 (100) | 990 | เม็กซิโก (—คาบสมุทรยูกาตัน) หมู่เกาะเคย์แมน คิวบา สหรัฐ —ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ —ตอนกลางด้านตะวันตกของสหรัฐ —รัฐออนแทรีโอ |
125 ล้าน | 18 | [162][163] | |||
เบริล | 4 – 16 กรกฎาคม | พายุเฮอริเคนระดับ 1 | 80 (130) | 991 | เลสเซอร์แอนทิลลีส เกาะฮิสปันโยลา ปวยร์โตรีโก ภาคตะวันออกของคิวบา บาฮามาส เบอร์มิวดา แคนาดา (—แอตแลนติกแคนาดา) |
เล็กน้อย | ไม่มี | ||||
คริส | 6 – 12 กรกฎาคม | พายุเฮอริเคนระดับ 2 | 105 (165) | 970 | เบอร์มิวดา สหรัฐ (—ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ) แคนาดา (—แอตแลนติกแคนาดา) ไอซ์แลนด์ |
เล็กน้อย | 1 | ||||
เดบบี | 7 – 9 สิงหาคม | พายุโซนร้อน | 50 (85) | 1000 | ไม่มี | ไม่มี | ไม่มี | ||||
เอร์เนสโต | 15 – 18 สิงหาคม | พายุโซนร้อน | 45 (75) | 999 | ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร |
ไม่มี | ไม่มี | ||||
ฟลอเรนซ์ | 31 สิงหาคม – 17 กันยายน | พายุเฮอริเคนระดับ 4 | 140 (220) | 939 | แอฟริกาตะวันตก กาบูเวร์ดี เบอร์มิวดา สหรัฐ —ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ —โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดอะแคโรไลนาส —รัฐมิดแอตแลนติก แคนาดา (—แอตแลนติกแคนาดา) |
>2.4 หมื่นล้าน | 24 (30) | [164][143] | |||
กอร์ดอน | 3 – 8 กันยายน | พายุโซนร้อน | 70 (110) | 997 | เกรตเตอร์แอนทิลลีส เบอร์มิวดา บาฮามาส สหรัฐ —รัฐฟลอริดา —ชายฝั่งด้านอ่าวของสหรัฐ —ภาคตะวันออกของสหรัฐ —รัฐออนแทรีโอ |
200 ล้าน | 3 (1) | [165] | |||
เฮเลน | 7 – 16 กันยายน | พายุเฮอริเคนระดับ 2 | 110 (175) | 966 | แอฟริกาตะวันตก กาบูเวร์ดี อะโซร์ส ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร นอร์เวย์ |
ไม่ทราบ | 3 | ||||
ไอแซก | 7 – 15 กันยายน | พายุเฮอริเคนระดับ 1 | 75 (120) | 993 | แอฟริกาตะวันตก, เลสเซอร์แอนทิลลีส เฮติ จาเมกา หมู่เกาะเคย์แมน คิวบา |
เล็กน้อย | ไม่มี | ||||
จอยซ์ | 12 – 19 กันยายน | พายุโซนร้อน | 50 (85) | 997 | ไม่มี | ไม่มี | ไม่มี | ||||
ลูกที่เจ็ด | 22 – 23 กันยายน | พายุดีเปรสชันเขตร้อน | 35 (55) | 1007 | ไม่มี | ไม่มี | ไม่มี | ||||
เคิร์ก | 22 – 29 กันยายน | พายุโซนร้อน | 60 (95) | 998 | เลสเซอร์แอนทิลลีส | 4.44 แสน | 2 | [166][167] | |||
เลซลี | 23 กันยายน – 13 ตุลาคม | พายุเฮอริเคนระดับ 1 | 90 (150) | 969 | อะโซร์ส เบอร์มิวดา โปรตุเกส (—มาเดรา) คาบสมุทรไอบีเรีย ฝรั่งเศส |
≥500 ล้าน | 2 (15) | ||||
ไมเคิล | 7 – 12 ตุลาคม | พายุเฮอริเคนระดับ 5 | 160 (260) | 919 | อเมริกากลาง เม็กซิโก (—คาบสมุทรยูกาตัน) หมู่เกาะเคย์แมน คิวบา สหรัฐ —ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ —โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้ามกระทะฟลอริดา —ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ แคนาดา (—แอตแลนติกแคนาดา) คาบสมุทรไอบีเรีย |
>2.51 หมื่นล้าน | 31 (43) | [140][141][143][144] | |||
นาดีน | 9 – 13 ตุลาคม | พายุโซนร้อน | 65 (100) | 997 | ไม่มี | ไม่มี | ไม่มี | ||||
ออสการ์ | 27 – 31 ตุลาคม | พายุเฮอริเคนระดับ 2 | 105 (165) | 970 | ไม่มี | ไม่มี | ไม่มี | ||||
สรุปฤดูกาล | |||||||||||
16 ลูก | 25 พฤษภาคม – 31 ตุลาคม | 160 (260) | 919 | >5.2 หมื่นล้าน | 84 (89) |
ดูเพิ่ม
[แก้]- ฤดูพายุเฮอริเคนแอตแลนติก
- ฤดูพายุเฮอริเคนแปซิฟิก พ.ศ. 2561
- ฤดูพายุไต้ฝุ่นแปซิฟิก พ.ศ. 2561
- ฤดูพายุไซโคลนมหาสมุทรอินเดียเหนือ พ.ศ. 2561
- ฤดูพายุไซโคลนมหาสมุทรอินเดียตะวันตก-ใต้: 2560–2561, 2561–2562
- ฤดูพายุไซโคลนภูมิภาคออสเตรเลีย: 2560–2561, 2561–2562
- ฤดูพายุไซโคลนแปซิฟิกใต้: 2560–2561, 2561–2562
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Eric S. Blake (May 21, 2018). "Graphical Tropical Weather Outlook". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ May 25, 2018.
- ↑ Stacy R. Stewart (May 25, 2018). "Subtropical Storm Alberto Advisory Number 1". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ May 25, 2018.
- ↑ Daniel P. Brown (May 28, 2018). "Subtropical Storm Alberto Public Advisory Number 15". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ May 28, 2018.
- ↑ "Post-Tropical Cyclone Alberto Advisory Number 25". Weather Prediction Center. May 31, 2018. สืบค้นเมื่อ May 31, 2018.
- ↑ Stacy R. Stewart (July 5, 2018). "Tropical Depression Two Discussion Number 1". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ July 5, 2018.
- ↑ Michael Brennan; Robbie Berg (July 5, 2018). Tropical Storm Beryl Tropical Cyclone Update (Report). Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ July 5, 2018.
- ↑ Daniel P. Brown (July 6, 2018). Hurricane Beryl Discussion Number 4 (Report). Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ July 6, 2018.
- ↑ Marshall Shepherd (July 6, 2018). "Beryl Is The First Atlantic Hurricane Of 2018 - But Keep An Eye On The Carolinas Too". Forbes. สืบค้นเมื่อ July 6, 2018.
- ↑ Robbie J. Berg (July 7, 2018). "Tropical Storm Beryl Discussion Number 9". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ July 8, 2018.
- ↑ Stacy R. Stewart (July 8, 2018). "Remnants of Beryl Discussion Number 14". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ July 8, 2018.
- ↑ Daniel P. Brown (July 16, 2018). Post-Tropical Cyclone Beryl Discussion Number 22 (Report). Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ July 16, 2018.
- ↑ Stacy R. Stewart (July 2, 2018). "Graphical Tropical Weather Outlook". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ July 6, 2018.
- ↑ Daniel P. Brown (July 3, 2018). "Graphical Tropical Weather Outlook". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ July 6, 2018.
- ↑ Avila, Lixion. "Tropical Depression THREE Discussion Number 5". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 16 July 2018.
- ↑ Zelinsky, David. "Tropical Storm CHRIS". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 16 July 2018.
- ↑ Stacy R. Stewart (July 10, 2018). "Hurricane Chris Advisory Number 17". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ July 10, 2018.
- ↑ John L. Beven (July 10, 2018). "Hurricane Chris Discussion Number 18". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ July 10, 2018.
- ↑ "Hurricane Chris Advisory Number 21". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-07-12.
- ↑ "Tropical Storm CHRIS". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-07-12.
- ↑ Stacy R. Stewart (July 12, 2018). "Post-Tropical Cyclone Chris Forecast Discussion Number 34". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 18, 2018.
- ↑ Kory, Melissa. "Man Drowns in Rough Surf as Tropical Storm Chris Spins Off North Carolina Coast". The Weather Channel. สืบค้นเมื่อ 8 July 2018.
- ↑ "Post-tropical storm Chris veers west, drenching Gander". CBC. July 13, 2018. สืบค้นเมื่อ July 14, 2018.
- ↑ Canada, Environment and Climate Change. "Daily Data Report for July 2018 - Climate - Environment and Climate Change Canada". climate.weather.gc.ca (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-07-21.
- ↑ Stacy R. Stewart (August 4, 2018). "NHC Graphical Tropical Weather Outlook Archive". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ August 7, 2018.
- ↑ Lixion Avila (August 7, 2018). "Subtropical Storm Debby Advisory Number 1". Miami, Florida: National Hurricane Center.
- ↑ Stacy R. Stewart (August 7, 2018). "Tropical Storm Debby Advisory Number 4". Miami, Florida: National Hurricane Center.
- ↑ John P. Cangialosi (August 8, 2018). "Tropical Storm Debby Discussion Number 7". Miami, Florida: National Hurricane Center.
- ↑ David Zelinsky (August 9, 2018). "Tropical Storm Debby Discussion Number 10". Miami, Florida: National Hurricane Center.
- ↑ Robbie Berg (August 12, 2018). "NHC Graphical Tropical Weather Outlook Archive". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ August 15, 2018.
- ↑ Lixion Avila (August 14, 2018). "NHC Graphical Tropical Weather Outlook Archive". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ August 15, 2018.
- ↑ John P. Cangialosi (August 15, 2018). "Subtropical Depression Five Advisory Number 1". Miami, Florida: National Hurricane Center.
- ↑ Daniel P. Brown (August 15, 2018). "Subtropical Storm Ernesto Advisory Number 2". Miami, Florida: National Hurricane Center.
- ↑ Brown, Daniel. "Subtropical Storm ERNESTO Discussion Number 6". www.nhc.noaa.gov. National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ 3 September 2018.
- ↑ Brown, Daniel. "Tropical Storm ERNESTO". www.nhc.noaa.gov. National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ 3 September 2018.
- ↑ Avila, Lixion. "Post-Tropical Cyclone ERNESTO". www.nhc.noaa.gov. National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ 3 September 2018.
- ↑ "Britain to bake in 28C as the heatwave returns after tropical Storm Ernesto batters the country". Tariq Tahir. 18 August 2018.
- ↑ "Storm Ernesto on course for the UK and Ireland this weekend".
- ↑ Robbie Berg (August 28, 2018). "Tropical Weather Outlook" (TXT). National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ August 30, 2018.
- ↑ Robbie Berg (August 30, 2018). "Tropical Weather Outlook" (TXT). National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ August 30, 2018.
- ↑ Lixion Avila (August 30, 2018). "Tropical Weather Outlook" (TXT). National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ August 30, 2018.
- ↑ Lixion Avila (August 30, 2018). "Potential Tropical Cyclone Six Discussion Number 1". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ August 30, 2018.
- ↑ Lixion Avila (August 31, 2018). "Tropical Depression Six Discussion Number 4". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ August 31, 2018.
- ↑ Robbie Berg (September 4, 2018). "Hurricane Florence Discussion Number 21". National Hurricane Center.
- ↑ Berg, Robbie (2018-09-05). "Hurricane Florence Discussion Number 25".
- ↑ "Hurricane FLORENCE". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-05.
- ↑ Sam Lillo [@splillo] (5 September 2018). "Intensity at 18z has been increased to 115kt -- Florence is officially a category 4 hurricane. At 22.4N / 46.2W, this also makes Florence the furthest north category 4 hurricane east of 50W ever recorded in the Atlantic" (ทวีต). สืบค้นเมื่อ 5 September 2018 – โดยทาง ทวิตเตอร์.
- ↑ "Hurricane FLORENCE". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-06.
- ↑ "Hurricane FLORENCE". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-07.
- ↑ "Hurricane Florence Discussion Number 41". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-08.
- ↑ "Hurricane Florence Public Advisory Number 45". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-10.
- ↑ "Hurricane FLORENCE". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-10.
- ↑ "Hurricane FLORENCE". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-13.
- ↑ "Tropical Depression FLORENCE". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-17.
- ↑ David Roth (September 17, 2018). "Post-Tropical Cyclone Florence Advisory Number 74". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 18, 2018.
- ↑ "Post-Tropical Cyclone FLORENCE". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-19.
- ↑ Croft, Jay; Jason, Hanna (9 September 2018). "Florence upgraded to hurricane, could threaten East Coast this week". CNN. สืบค้นเมื่อ 9 September 2018.
- ↑ "Mayor Bowser Declares State of Emergency Ahead of Hurricane Florence". mayor.dc.gov. สืบค้นเมื่อ September 12, 2018.
- ↑ "Hurricane FLORENCE". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-11.
- ↑ Michael Brennan (August 30, 2018). "NHC Graphical Tropical Weather Outlook Archive". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 3, 2018.
- ↑ Stacy R. Stewart (September 2, 2018). "Potential Tropical Cyclone Seven Discussion Number 1". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 3, 2018.
- ↑ Stacy R. Stewart (September 3, 2018). "Tropical Storm Gordon Special Discussion Number 4". Miami, Florida: National Hurricane Center.
- ↑ Daniel P. Brown (September 4, 2018). "Tropical Storm Gordon Discussion Number 7". Miami, Florida: National Hurricane Center.
- ↑ Daniel P. Brown (September 5, 2018). "Tropical Storm Gordon Discussion Number 11". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 7, 2018.
- ↑ "earth 2️⃣ a global map of wind, weather, and ocean conditions". earth.nullschool.net (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-09-12.
- ↑ "Potential Tropical Cyclone EIGHT". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-07.
- ↑ "NHC Graphical Outlook Archive". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-07.
- ↑ "Hurricane Helene Advisory Number 11". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-09.
- ↑ Philip Klotzbach [@philklotzbach] (9 September 2018). "Helene now has max winds of 85 mph at 27.2°W. In the satellite era (since 1966), the only Atlantic hurricane further east to be this strong in the tropics (south of 23.5°N) is Fred (2015)" (ทวีต). สืบค้นเมื่อ 10 September 2018 – โดยทาง ทวิตเตอร์.
- ↑ Michael Brennan (September 10, 2018). "Hurricane Helen Tropical Cyclone Update". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 11, 2018.
- ↑ 70.0 70.1 Daniel Brown (September 14, 2018). "Tropical Storm Joyce Discussion Number 7". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 18, 2018.
- ↑ John L. Beven (September 15, 2018). "Tropical Storm Helene Discussion Number 34". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 18, 2018.
- ↑ Daniel Brown (September 16, 2018). "Post-Tropical Cyclone Helene Advisory Number 37". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 17, 2018.
- ↑ "Met Éireann briefing on Ex Tropical Storm Helene 4pm Monday 17th September – Met Éireann – The Irish Meteorological Service". www.met.ie (ภาษาอังกฤษ). Met Éireann. 17 September 2018. สืบค้นเมื่อ 17 September 2018.
- ↑ "Europe Weather Analysis on 2018-9-18". Free University of Berlin. September 18, 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-06-05. สืบค้นเมื่อ September 24, 2018.
- ↑ "Europe Weather Analysis on 2018-9-21". Free University of Berlin. September 21, 2018. สืบค้นเมื่อ September 24, 2018.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Europe Weather Analysis on 2018-9-22". Free University of Berlin. September 22, 2018. สืบค้นเมื่อ September 24, 2018.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Mohamed Moro Sacko (September 6, 2018). "Siguiri : Trois morts suite à des pluies duliviennnes à Doko" (ภาษาฝรั่งเศส). Guinea News. สืบค้นเมื่อ September 8, 2018.
- ↑ Will tropical storm affect the UK?, metoffice.gov.uk
- ↑ Eric Blake (September 2, 2018). "Atlantic 2-Day Graphical Tropical Weather Outlook - 200 PM EDT Sat Sept 8 2018". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 8, 2018.
- ↑ "Tropical Depression Nine Discussion Number 1". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-07.
- ↑ "Tropical Storm Isaac Discussion Number 5". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-08.
- ↑ "Hurricane Isaac Forecast Discussion Number 10". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-08.
- ↑ Daniel Brown (September 14, 2018). "Tropical Depression Isaac Discussion Number 27". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 14, 2018.
- ↑ Eric Blake (September 14, 2018). "Tropical Storm Isaac Discussion Number 29". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 14, 2018.
- ↑ John P. Cangialosi (September 11, 2018). "NHC Graphical Tropical Weather Outlook Archive". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 13, 2018.
- ↑ Lixion Avila (September 12, 2018). "Subtropical Storm Joyce Discussion Number 1". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 13, 2018.
- ↑ David Zelinsky (September 14, 2018). "Tropical Storm Joyce Discussion Number 6". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 14, 2018.
- ↑ John L. Beven (September 14, 2018). "Tropical Storm Joyce Wind Speed Probabilities Number 9". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 14, 2018.
- ↑ David Zelinskly (September 14, 2018). "Tropical Storm Joyce Discussion Number 10". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 18, 2018.
- ↑ John Cangialosi (September 16, 2018). "Tropical Depression Joyce Discussion Number 16". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 16, 2018.
- ↑ "Post-Tropical Cyclone JOYCE". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-19.
- ↑ Avila, Lixion (November 9, 2018). "Tropical Cyclone Report, Tropical Depression Eleven" (PDF).
- ↑ Stacy R. Stewart (September 18, 2018). "Graphical Tropical Weather Outlook". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 22, 2018.
- ↑ Amy Campbell; Eric S. Blake (September 21, 2018). "Graphical Tropical Weather Outlook". College Park, Maryland: Weather Prediction Center. สืบค้นเมื่อ September 22, 2018.
- ↑ David A. Zelinsky (September 21, 2018). Tropical Depression Eleven-E Discussion Number 1 (Report). Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 22, 2018.
- ↑ Lixion A. Avila (September 23, 2018). Remnants Of Eleven Discussion Number 7 (Report). Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 23, 2018.
- ↑ Stacy R. Stewart (September 21, 2018). "NHC Graphical Tropical Weather Outlook Archive". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 22, 2018.
- ↑ Michael J. Brennan (September 22, 2018). "Tropical Storm Kirk Discussion Number 1". Miami, Florida: National Hurricane Center.
- ↑ Klotzbach, Philip. "Kirk has formed in the eastern tropical Atlantic at 8.3°N". Twitter. สืบค้นเมื่อ 22 September 2018.
- ↑ Bahm, Daulton. "Tropical Storm Bret becomes earliest named storm in Atlantic MDR, Potential Tropical Cyclone Three a threat to Gulf Coast". Cyclonic Fury. สืบค้นเมื่อ 22 September 2018.
- ↑ David Zelinsky (September 23, 2018). "Tropical Depression Kirk Discussion Number 7". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 23, 2018.
- ↑ Richard Pasch (September 24, 2018). "Remnants Of Kirk Discussion Number 9". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 24, 2018.
- ↑ Stacy R. Stewart (September 26, 2018). "Tropical Storm Kirk Discussion Number 10". Miami, Florida: National Hurricane Center.
- ↑ "Tropical Storm KIRK". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-26.
- ↑ "Tropical Storm KIRK". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-26.
- ↑ "Tropical Storm KIRK". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-26.
- ↑ "Tropical Storm Kirk Forecast Discussion". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-28.
- ↑ "Tropical Storm Kirk Discussion Number 19". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-09-28.
- ↑ Robbie Berg (September 29, 2018). "Remnants Of Kirk Discussion Number 20". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 29, 2018.
- ↑ Lixion A. Avila (September 19, 2018). "Graphical Tropical Weather Outlook". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 23, 2018.
- ↑ Robbie J. Berg (September 22, 2018). "Graphical Tropical Weather Outlook". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 23, 2018.
- ↑ Lixion A. Avila (September 23, 2018). Subtropical Storm Leslie Public Advisory Number 1 (Report). Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 23, 2018.
- ↑ John Cangialosi (September 25, 2018). "Subtropical Depression Leslie Public Advisory Number 8". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 25, 2018.
- ↑ Dave Roberts (September 25, 2018). "Post-Tropical Cyclone Leslie Discussion Number 9". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 25, 2018.
- ↑ John Cangialosi (September 27, 2018). "Two-Day Graphical Tropical Weather Outlook - 2:00 AM EDT Thu Sept 27 2018". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 27, 2018.
- ↑ Jack Beven (September 28, 2018). "Subtropical Storm Leslie Advisory Number 10". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ September 28, 2018.
- ↑ Zelinsky, David. "Tropical Storm Leslie Forecast Discussion". www.nhc.noaa.gov. National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ 29 September 2018.
- ↑ Daniel Brown (October 3, 2018). "Hurricane Leslie Discussion Number 28". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 3, 2018.
- ↑ John L. Beven (October 4, 2018). "Tropical Storm Leslie Discussion Number 34". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 7, 2018.
- ↑ David Zelinsky (October 7, 2018). "Tropical Storm Leslie Discussion Number 45". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 7, 2018.
- ↑ "Tropical Storm LESLIE". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-10-09.
- ↑ "Hurricane LESLIE". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-10-10.
- ↑ Blake, Eric. "Hurricane Leslie Discussion Number 63". National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ 12 October 2018.
- ↑ "Arquipélago da Madeira em "alerta máximo" devido ao furacão Leslie" (ภาษาโปรตุเกส). Diário de Notícias. October 12, 2018. สืบค้นเมื่อ October 12, 2018.
- ↑ "Furacão Leslie: mais de 180 jogos cancelados na Madeira e duas exceções nas modalidades" (ภาษาโปรตุเกส). O Jogo. October 12, 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-10-13. สืบค้นเมื่อ October 12, 2018.
- ↑ Stacy R. Stewart (October 2, 2018). "NHC Graphical Tropical Weather Outlook Archive". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 7, 2018.
- ↑ Jack Beven (October 6, 2018). "Potential Tropical Cyclone Fourteen Advisory Number 1". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 7, 2018.
- ↑ John L. Beven (October 6, 2018). "Potential Tropical Cyclone Fourteen Discussion Number 1". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 6, 2018.
- ↑ Robbie Berg (October 7, 2018). "Tropical Depression Fourteen Discussion Number 3". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 7, 2018.
- ↑ Daniel P. Brown (October 7, 2018). "Tropical Storm Michael Tropical Cyclone Update". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 7, 2018.
- ↑ "Hurricane MICHAEL". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-10-08.
- ↑ "Hurricane MICHAEL". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-10-08.
- ↑ Beven, Jack. "Hurricane MICHAEL". www.nhc.noaa.gov. National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ 11 October 2018.
- ↑ Daniel P. Brown (October 10, 2018). "Hurricane Michael Discussion 17". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 11, 2018.
- ↑ "Post-Tropical Cyclone MICHAEL". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-10-12.
- ↑ 136.0 136.1 "Tres muertos y más de 1900 viviendas afectadas por lluvias". Confidencial (ภาษาสเปน). October 6, 2018. สืบค้นเมื่อ October 7, 2018.
- ↑ 137.0 137.1 "Al menos 9 muertos y miles de afectados por un temporal en Centroamérica" (ภาษาสเปน). October 7, 2018. สืบค้นเมื่อ October 7, 2018.
- ↑ Wright, Pam (October 13, 2018). "Michael Death Toll Climbs to 18; Search Continues for Missing". The Weather Channel. สืบค้นเมื่อ October 14, 2018.
- ↑ "Sube a ocho el número de muertos por las lluvias en Honduras". El Nuevo Diario (ภาษาสเปน). October 10, 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-10-13. สืบค้นเมื่อ October 12, 2018.
- ↑ 140.0 140.1 "Hurricane Michael Death Toll Now at 35 in Florida, 45 Total". Insurance Journal. October 30, 2018. สืบค้นเมื่อ February 2, 2019.
- ↑ 141.0 141.1 "Hurricane Michael death toll continues to rise". WJHG-TV. January 11, 2019. สืบค้นเมื่อ February 2, 2019.
- ↑ Breslin, Sean (October 17, 2018). "Hurricane Michael Death Toll Rises to 35 as Mexico Beach Residents Return to Survey Damage". The Weather Channel. สืบค้นเมื่อ October 19, 2018.
- ↑ 143.0 143.1 143.2 "Assessing the U.S. Climate in 2018 Warm temperatures and significant precipitation round out 2018". NOAA. National Center for Environmental Information. February 6, 2019. สืบค้นเมื่อ February 9, 2019.
- ↑ 144.0 144.1 Global Catastrophe Recap October 2018 (PDF). AON (Report). AON. November 7, 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2018-11-16. สืบค้นเมื่อ November 19, 2018.
- ↑ Lixion Avila (October 7, 2018). "NHC Graphical Tropical Weather Outlook Archive". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 9, 2018.
- ↑ John P. Cangialosi (October 9, 2018). "Tropical Depression Fifteen Discussion Number 1". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 9, 2018.
- ↑ Michael J. Brennan (October 9, 2018). "Tropical Storm Nadine Discussion Number 2". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 9, 2018.
- ↑ Klotzbach, Philip. "#Nadine has formed in the eastern tropical Atlantic". Twitter. สืบค้นเมื่อ October 10, 2018.
- ↑ David Zelinsky (October 10, 2018). "Tropical Storm Nadine Advisory Number 6". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 11, 2018.
- ↑ David Zelinsky (October 10, 2018). "Tropical Storm Nadine Discussion Number 7". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 11, 2018.
- ↑ Eric S. Blake (October 13, 2018). "Tropical Storm Nadine Discussion Number 16". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 13, 2018.
- ↑ Robbie J. Berg (October 23, 2018). "Graphical Tropical Weather Outlook". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 26, 2018.
- ↑ Eric S. Blake (October 23, 2018). "Graphical Tropical Weather Outlook". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 26, 2018.
- ↑ John P. Cangialosi (October 26, 2018). "Graphical Tropical Weather Outlook". Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 26, 2018.
- ↑ John L. Beven II (October 26, 2018). Subtropical Storm Oscar Discussion Number 1 (Report). Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 26, 2018.
- ↑ John L. Beven II (October 28, 2018). Tropical Storm Oscar Discussion Number 5 (Report). Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 28, 2018.
- ↑ Stacy R. Stewart (October 28, 2018). Hurricane Oscar Discussion Number 8 (Report). Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 28, 2018.
- ↑ "Hurricane OSCAR". www.nhc.noaa.gov. สืบค้นเมื่อ 2018-10-30.
- ↑ Robbie J. Berg (October 31, 2018). Hurricane Oscar Advisory Number 19 (Report). Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 31, 2018.
- ↑ John L. Beven (October 31, 2018). Post-Tropical Cyclone Oscar Discussion Number 20 (Report). Miami, Florida: National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 31, 2018.
- ↑ Florence and Michael retired by the World Meteorological Organization (Report). National Oceanic and Atmospheric Administration. March 20, 2019. สืบค้นเมื่อ March 20, 2019.
- ↑ AON Benfield. "Global Catastrophe Recap June 2018" (PDF). p. 10. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2018-07-10. สืบค้นเมื่อ July 15, 2018.
- ↑ Robbie Berg (October 17, 2018). Tropical Storm Alberto Tropical Cyclone Report (PDF) (Report). National Hurricane Center. สืบค้นเมื่อ October 21, 2018.
- ↑ "Cooper puts Hurricane Florence damage at $13 billion". WITN. Associated Press. October 10, 2018. สืบค้นเมื่อ October 14, 2018.
- ↑ "Global Catstrophe Recap - September 2018" (PDF). Aon Benfield. October 9, 2018. p. 4. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-12-09. สืบค้นเมื่อ October 10, 2018.
- ↑ RA IV Hurricane Committee Members (February 12, 2019). Country Report: Saint Lucia (pdf) (Report). สืบค้นเมื่อ April 1, 2019.
- ↑ British Caribbean Territories (February 14, 2019). Country Report: British Caribbean Territories (pdf) (Report). สืบค้นเมื่อ April 1, 2019.